มาตรฐานการทดสอบดินในไทย: สิ่งที่เจ้าของโครงการและวิศวกรควรรู้



การก่อสร้างที่มั่นคงเริ่มจาก “ฐานรากที่แข็งแรง” และฐานรากที่แข็งแรงจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีการทดสอบดินอย่างถูกต้องตามมาตรฐาน ในประเทศไทย การทดสอบดินต้องอ้างอิงมาตรฐานที่เป็นที่ยอมรับทั้งในระดับสากลและภายในประเทศ เพื่อให้ผลทดสอบสามารถนำไปใช้ในการออกแบบทางวิศวกรรมได้จริง
บทความนี้จะอธิบาย มาตรฐานการทดสอบดินในไทย ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน ครอบคลุมตั้งแต่มาตรฐานกรมโยธาธิการ มาตรฐาน ASTM และ AASHTO ไปจนถึงข้อควรระวังสำหรับผู้ว่าจ้างและวิศวกร
1. ทำไมมาตรฐานการทดสอบดินจึงสำคัญ?
-
สร้างความเชื่อมั่น: รายงานที่อ้างอิงมาตรฐานที่ถูกต้อง ทำให้เจ้าของโครงการและผู้ตรวจสอบเชื่อถือได้
-
ป้องกันความเสี่ยง: หากไม่มีมาตรฐาน การทดสอบอาจคลาดเคลื่อน ส่งผลให้ฐานรากออกแบบผิดพลาด
-
ยอมรับในทางราชการ: งานโครงการรัฐหรือเอกชนขนาดใหญ่ มักบังคับว่ารายงานต้องเป็นไปตาม มาตรฐานกรมโยธาธิการ
-
สื่อสารร่วมกันได้: มาตรฐานเดียวกันทำให้เจ้าของงาน ผู้รับเหมา และวิศวกรเข้าใจตรงกัน
2. มาตรฐานการทดสอบดินที่ใช้ในประเทศไทย
2.1 มาตรฐานกรมโยธาธิการและผังเมือง (DPT Standard)
-
เป็นมาตรฐานหลักที่โครงการก่อสร้างในไทยนิยมใช้อ้างอิง
-
กำหนดวิธีการเจาะสำรวจดิน การเก็บตัวอย่าง และการทดสอบในห้องแล็บ
-
รายงานผลต้องมีรายละเอียด เช่น Log การเจาะดิน, ค่าผลทดสอบ SPT, การจำแนกดิน (Soil Classification)
-
เหมาะสำหรับโครงการที่ต้องยื่นอนุญาตก่อสร้างกับหน่วยงานราชการ
2.2 มาตรฐาน ASTM (American Society for Testing and Materials)
-
มาตรฐานระดับสากลที่ได้รับการยอมรับทั่วโลก
-
ตัวอย่างการทดสอบที่ใช้บ่อยในงานโยธา:
-
ASTM D1586: Standard Penetration Test (SPT)
-
ASTM D2435: Consolidation Test
-
ASTM D3080: Direct Shear Test
-
ASTM D4253/D4254: Maximum & Minimum Density of Soil
-
-
บริษัทเทสดินที่ได้มาตรฐาน ASTM มักได้รับความเชื่อถือสูงจากนักลงทุนและบริษัทข้ามชาติ
2.3 มาตรฐาน AASHTO (American Association of State Highway and Transportation Officials)
-
นิยมใช้ในงาน ถนนและโครงสร้างพื้นฐาน
-
ตัวอย่างเช่น:
-
AASHTO T99/T180: Compaction Test
-
AASHTO T193: CBR (California Bearing Ratio) Test
-
-
เหมาะสำหรับโครงการที่ต้องการความทนทานต่อการใช้งานของยานพาหนะหนัก เช่น ถนนและสะพาน
2.4 มาตรฐาน ISO/IEC 17025
-
ไม่ใช่วิธีการทดสอบโดยตรง แต่เป็นมาตรฐานการรับรองห้องปฏิบัติการ
-
ห้องแล็บที่ผ่านมาตรฐานนี้แสดงว่ามีระบบคุณภาพและความแม่นยำในการทดสอบ
-
ในบางโครงการภาครัฐอาจบังคับให้ใช้บริษัทที่ห้องแล็บได้รับการรับรอง ISO/IEC 17025
3. ขั้นตอนทดสอบดินตามมาตรฐานที่ใช้จริง
-
การเจาะสำรวจ (Soil Boring)
-
ใช้เครื่องเจาะเพื่อเก็บตัวอย่างดินที่ระดับความลึกต่าง ๆ
-
ทำการ SPT Test ตามมาตรฐาน ASTM D1586 หรือกรมโยธาฯ
-
-
การเก็บตัวอย่างดิน (Sampling)
-
เก็บตัวอย่างดินแบบ disturbed (รบกวนแล้ว) และ undisturbed (ไม่รบกวน)
-
ต้องเก็บอย่างถูกวิธีเพื่อไม่ให้คุณสมบัติดินเปลี่ยน
-
-
การทดสอบภาคสนาม (Field Test)
-
Plate Load Test (กรมโยธาฯ/ASTM D1194)
-
CPT (Cone Penetration Test)
-
-
การทดสอบในห้องแล็บ (Lab Test)
-
Compaction Test (ASTM/AASHTO T99/T180)
-
Direct Shear Test (ASTM D3080)
-
Consolidation Test (ASTM D2435)
-
-
การจัดทำรายงาน (Report)
-
Log การเจาะดิน (Boring Log)
-
ค่าผลการทดสอบที่อ้างอิงมาตรฐาน
-
คำแนะนำการออกแบบฐานรากโดยวิศวกร
-
4. ข้อควรระวังเมื่อเลือกบริษัททดสอบดิน
-
ต้องตรวจสอบว่า อ้างอิงมาตรฐานที่ชัดเจน (กรมโยธาฯ, ASTM, AASHTO)
-
รายงานที่ไม่มีลายเซ็น วิศวกร กว. อาจใช้ไม่ได้ในทางราชการ
-
ราคาที่ถูกเกินจริงอาจหมายถึงบริษัทไม่ได้ทำการทดสอบครบตามมาตรฐาน
-
ควรสอบถามว่าห้องแล็บที่ใช้มีการสอบเทียบอุปกรณ์ตาม ISO/IEC 17025 หรือไม่
5. FAQ – คำถามที่พบบ่อย
Q: หากสร้างบ้าน ต้องใช้มาตรฐานการทดสอบดินแบบไหน?
A: โดยทั่วไปใช้มาตรฐานกรมโยธาฯ และ ASTM D1586 (SPT Test) เพียงพอ
Q: มาตรฐาน ASTM กับกรมโยธาฯ แตกต่างกันอย่างไร?
A: ASTM เป็นมาตรฐานสากลที่ละเอียดและใช้ทั่วโลก ส่วนกรมโยธาฯ ปรับให้เหมาะสมกับสภาพดินในไทย
Q: จำเป็นต้องเลือกห้องแล็บที่ผ่าน ISO/IEC 17025 หรือไม่?
A: สำหรับงานเอกชนทั่วไปไม่จำเป็น แต่หากเป็นโครงการรัฐหรือโครงการใหญ่ควรเลือกเพื่อความมั่นใจ
สรุป
มาตรฐานการทดสอบดินในไทย เป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม เพราะผลทดสอบที่ไม่มีมาตรฐานอาจนำไปสู่การออกแบบที่ผิดพลาดและความเสียหายที่มีมูลค่ามหาศาล มาตรฐานที่นิยมใช้ได้แก่ กรมโยธาธิการและผังเมือง (DPT), ASTM, AASHTO และ ISO/IEC 17025 การเลือกบริษัทเทสดินควรตรวจสอบว่ามีการอ้างอิงมาตรฐานเหล่านี้ครบถ้วน และมีวิศวกรที่มีใบอนุญาตเซ็นรับรองรายงาน
